แปลไทยแบบกันเอง : Florence + The Machine – Caught





It's the hardest thing I've ever had to do
To try and keep from calling you
Well, can my dreams keep coming true
How can they, cause when I sleep
I never dream of you

นี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำมา
ในการพยายามที่จะไม่ติดต่อหาเธอ
แล้ว...ฝันของฉันจะเป็นจริงได้หรือ?
มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ เพราะในตอนที่ฉันหลับ
ฉันก็ไม่เคยฝันถึงเธอเลย

As if the dream of you, it sleeps too
But it never slips away
It just gains its strength and digs its hooks
To drag me through the day

แม้หากฉันฝันถึงเธอ มันก็คงจะยังหลับอยู่
แต่มันไม่เคยจะเลือนหายไป
มันแค่รวบรวมกำลังของมัน ฝังลงไปในใจ
และทำให้ฉันครุ่นคิดถึงมันไปตลอดทั้งวัน

And I'm caught
I forget all that I've been taught
I can't keep calm, I can't keep still
Pulled apart against my will

ฉันยังติดอยู่ในความรู้สึก
ลืมหมดทุกอย่างที่เคยถูกสอนมา
ฉันทำใจให้สงบไม่ได้ ฉันอยู่เฉยไม่ได้
ช่างขัดกับความตั้งใจของฉันเหลือเกิน

It's the hardest thing I've ever had to prove
You turn to salt as I turned around to look at you
Old friends have said, the books I've read
Say it's the thing to do
But it's hard to see it when you're in it
Cause I went blind for you

มันเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่ฉันเคยพิสูจน์
เธอกลายเป็นเกลือ** ขณะที่ฉันมองไปรอบๆเพื่อหาเธอ
เพื่อนเก่าของฉันบอกว่า หนังสือที่ฉันเคยอ่าน
ได้บอกเอาไว้หมดแล้วว่าควรทำอย่างไร
แต่มันก็ยากที่จะทำตามได้ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์จริงๆ
เพราะว่าฉันตกหลุมรักเธอเข้าแล้ว

Then you leave my head and crawl out of bed
Subconscious solipsist**
And for those hours deep in the dark
Perhaps you don't exist

จากนั้นเธอก็ออกจากหัวของฉัน และคลานออกจากเตียง
ภายในจิตใต้สำนึก ฉันเชื่อในการมีอยู่ของฉัน
และใช้เวลาหลายชั่วโมง ลึกลงไปในความมืด
บางทีเธออาจจะไม่มีอยู่จริง

But I'm caught
I forget all that I've been taught
I can't keep calm, I can't keep still
Pulled apart against my will

แต่ฉันก็ยังยึดติด
ฉันลืมทุกอย่างที่เคยถูกสอน
ฉันอยู่เฉยไม่ได้ ทำใจให้สงบไม่ได้
มันช่างแยกออกจากความตั้งใจของฉันโดยสิ้นเชิง

And I was thrashing on the line
Somewhere between
Desperate and divine
I can't keep calm, I can't keep still
Persephone will have her fill

ฉันถูกแขวนอยู่บนเส้นบางๆ
ที่ไหนสักแห่ง ระหว่าง
ความสิ้นหวัง และความน่าชื่นชมยินดี
ฉันทนอยู่เฉยๆไม่ได้ ฉันสงบใจไม่ได้
เหมือนเพอเซโฟนีที่ได้รับผลของเธอ****

And I'm caught
I forget all that I've been taught
I can't keep calm, I can't keep still
Pulled apart against my will

แต่ฉันก็ยังยึดติด
ฉันลืมทุกอย่างที่เคยถูกสอน
ฉันอยู่เฉยไม่ได้ ทำใจให้สงบไม่ได้
มันช่างแยกออกจากความตั้งใจของฉันโดยสิ้นเชิง

And I'm caught
I forget all that I've been taught
I can't keep calm, I can't keep still
Pulled apart against my will

แต่ฉันก็ยังยึดติด
ฉันลืมทุกอย่างที่เคยถูกสอน
ฉันอยู่เฉยไม่ได้ ทำใจให้สงบไม่ได้
มันช่างแยกออกจากความตั้งใจของฉันโดยสิ้นเชิง

            บอกเลยว่าอัลบั้มนี้ HB HB HB นี่มัน...สุดยอดแห่งความแปลยากกว่าอัลบั้มก่อน ออกแนวติสจัดกว่ามากๆด้วย (ถ้าใครดูMVจะเข้าใจนะคะ 5555 เหมือนดูละครใบ้ ซึ่งไอ้เราก็สกิลไม่ถึงซะด้วยสิ) แต่นี่เป็นเพลงแรกในอัลบั้มที่เราฟังแล้วเราคลิกกับมัน เพลงอื่นต้องฟังสักสองสามรอบ ออกตัวก่อนเลยนะคะว่าเพลงนี้(และแทบทุกเพลงในอัลบั้มนี้)มันยากจริงๆ จากที่ตอนแรกเราฟังเฉยๆและตีความของเราออกมาเอง พอมาแปลละเอียดอีกทียังเขวเลยว่า อ้าว สรุปมันหมายถึงอะไรวะ แล้วต้องหาอ่านข้อมูลเพิ่ม ซึ่งในGenius ก็บอกว่าเพลงนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวฟลอเร้นซ์เองและชายหนุ่มอีกคน แต่เอาเป็นว่ามันก็ไม่ได้ต่างจากความหมายกลางๆที่เราเข้าใจเท่าไหร่นะคะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า

            เพลงนี้ สรุปภาพรวมให้คือเรื่องราวของความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ที่กำลังจะจบลง แต่ไม่อยากจบและยังตัดใจจากคนรักไม่ได้ รายละเอียดก็คือว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยดีนัก และทำท่าจะ(หรือ)เลิกกัน เธอก็พยายามไม่ติดต่อ ทั้งๆที่ยังรักและอยากได้เขากลับคืนมา แต่ก็ดูเหมือนว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะแม้แต่ในความฝัน คนรักของเธอยังไม่โผล่หน้ามาเลยด้วยซ้ำ (How can they? Cause when I sleep, I never dream of you.) และถึงแม้ว่าเธอจะฝันถึงเขา มันก็คงจะยังหลับอยู่เหมือนเธอนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้น (ถ้าหากว่าเกิดฝันถึงคนรักขึ้นมาจริงๆ) ความฝันนั้นก็จะไม่เลือนหายไป เพราะความฝันนั้นก็มีพลังมากพอที่จะฝังลงไปในใจเธอ (gains its strength and digs its hooks) และก็ทำให้เธอคิดถึงมันไปตลอดทั้งวัน (To drag me through the day)     

            เธอยังคงติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่จบลงแล้ว ลืมทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มาว่าควรจะต้องทำยังไง ว้าวุ่นใจไปหมด ซึ่งเธอน่ะอยากจะใช้ชีวิตให้เป็นปกติ แต่เธอก็ทำไม่ได้ (Pulled apart against my will อยากควบคุมตัวเอง แต่ความรู้สึกมันมากเกินไป) เพราะรักที่ร้าวมันทำพิษ

            ส่วนท่อน “You turn to salt as I turned around to look at you” ท่อนนี้ถ้าให้เราแปลตรงๆตอนที่ฟังนะ คือ ตอนที่เธอเฝ้ามองหาเขา เขาก็หายไป(กลายเป็นเกลือกองอยู่กับพื้นไปละ เล็กๆ หาไม่เจอ) แต่พอมาเปิดดิกจริงจัง ปรากฏว่าสำนวนนี้มนมาจากไบเบิ้ล และเป็นเรื่องของ pillar of salt หรือเสาเกลือ ไม่ใช่เกลือเฉยๆเหมือนในเพลง ตำนานแบบสรุปคือพระเจ้าจะทำลายเมืองนึงซึ่งเป็นเมืองที่มีแต่คนบาป แต่ก็ยังมีบางคนที่ถูกเลือกให้รอด(คนดี...มั้ง) แต่มีข้อแม้ว่าตอนหนีอย่าหันกลับไปมองเมืองนะ ที่นี้มีคนฝ่าฝืนคำสั่ง เลยกลายเป็นเสาเกลือเหมือนกับผู้คนในเมือง ถ้าหากในเพลงใช้ความหมายนี้ก็เท่ากับว่า คนรักในเพลงนี้ เป็นคนบาป และเขาไม่รอดในความสัมพันธ์นี้ แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่เธอก็ยังคิดถึงเขา แม้ว่าเธอจะได้ไปต่อ ได้มีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าก็ตาม

            แม้ว่าเขาจะจากไปแล้ว(ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็เถอะ แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว) เธอก็ยังทำใจไม่ได้ เพื่อนก็เลยบอกว่า เธอก็ได้เรียนรู้มาหมดแล้วนี่ว่าต้องทำยังไงถึงจะตัดใจได้ (Old friends have said, the books I've read say it's the thing to do.) แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์จริงแล้วมันทำตามสิ่งที่เรารู้ว่าเราควรทำได้ยากมาก เพราะเธอหลงเขาขนาดหนักเลยทีเดียว (I went blind for you)

            แล้วหลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆลืมเขาไป (leave my head) เขาค่อยๆจางหายในจากชีวิตของเธอ (crawl out the bed) ทำให้เธอเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตัวเอง (solipsist หมายถึงความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของตนเอง) และเมื่อได้ใคร่ครวญพิจารณาในเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแล้ว มันก็ทำให้เธอสงสัยว่า บางทีคนรักของเธออาจไม่มีอยู่จริง ความรู้สึกที่เขาให้เธอมามันไม่เคยมีอยู่จริง มีแต่เธอที่รักเขา

            พอมาถึงจุดนี้ เธอทั้งสิ้นหวังว่าจะไม่ได้เขากลับคืนมาอีกแล้ว และยินดีที่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ (คิดเองนะคะ อันนี้คิดเองเออเองล้วนๆ) แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดถึงเขา เหมือนเพอเซโฟนี ที่ได้รับการเติมเต็มในส่วนของเธอ (Persephone will have her fill) สำนวนนี้ขออธิบาย เพอเซโฟนีเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ของกรีก ที่ฮาเดสไปตกหลุมรักแล้วพาตัวมาอยู่นรกด้วย ความซวยคือ นางดันเผลอไปกินผลทับทิมของนรกเข้า(แค่7เม็ด) แต่เพราะกินอาหารของแดนคนตาย ทำให้ต้องอยู่ในนรกกับฮาเดสชายที่เธอไม่ได้รัก นั่นก็ทำให้เธอทุกข์ทรมานอยู่โขเลยทีเดียว พอสำนวนนี้มาปรากฏในเพลง เราตีความว่า ถึงแม้จะจบกันไปแล้ว แต่เธอเองก็ต้องติดอยู่ในความทรมานใจจากความสัมพันธ์ดังกล่าวไปอีกนาน เหมือนเพอเซโฟนีที่ติดอยู่ในนรกเพราะกินผลทับทิมเข้าไป


            ถ้าแปลผิด หรือผู้อ่านมีความคิดเห็นอื่น เสนอได้ด้านล่างเลยค่ะ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แปลไทยแบบกันเอง : Seafret - Atlantis

แปลไทย : Sia - Unstoppable

แปลไทยแบบกันเอง : Seafret - Oceans