แปลไทยแบบกันเอง : BIRDY + RHODES - Let It All Go



I've been sleepless at night
'Cause I don't know how I feel
I've been waiting on you
Just to say something real

ช่วงกลางคืน ฉันนอนไม่ค่อยหลับ
เพราะฉันไม่รู้ว่าจริงๆตัวฉันเองรู้สึกยังไง
ฉันจึงได้แต่รอเธอกลับมา
เพื่อจะบอกความจริงบางอย่าง

There's a light on the road
And I think you know
Morning has come
And I have to go

มีแสงไฟอยู่บนถนนนั่น
และฉันคิดว่าเธอคงจะเข้าใจ
รุ่งเช้ากำลังจะมาถึง
และฉันคงต้องไป

I don't know why, I don't know why
We need to break so hard
I don't know why we break so hard

ฉันไม่รู้ว่าทำไม ฉันไม่รู้ว่าทำไม
เราถึงต้องจากกันด้วยความปวดร้าว
ฉันไม่รู้ว่าทำไมเราถึงต้องจบกันแบบนี้

But if we're strong enough
To let it in
We're strong enough
To let it go

แต่ถ้าเราเข้มแข็งพอ
ที่จะให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น
เราก็ควรจะแข็งแกร่งพอ
ที่จะปล่อยมันไป

Let it all go, let it all go
Let it all out now

ปล่อยมันไปทั้งหมด ปล่อยให้มันเป็นไป
ปลดปล่อยทุกอย่างออกมาตอนนี้

If I look back to the start now
I know, I see everything true
There's still a fire in my heart, my darling
But I'm not burning for you

หากฉันมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นในตอนนี้
ฉันรู้เลยว่า ฉันจะเห็นทุกอย่างตามที่เป็นจริง
มันยังคงมีความหวังอยู่ในใจฉันนะที่รัก
แต่ความหวังของฉันไม่ใช่สำหรับเธอ

We started it wrong
And I think you know
We waited too long
Now I have to go

เราเริ่มต้นด้วยความผิดพลาด
และฉันคิดว่าเธอรู้เรื่องนี้นะ
เราต่างรอมานานแสนนาน
ตอนนี้ฉันต้องจากไปแล้ว

I don't know why, I don't know why
We need to break so hard
I don't know why we break so hard

ฉันไม่รู้ว่าทำไม ไม่เข้าใจว่าทำไม
เราถึงต้องจบกันเลวร้ายแบบนี้
ฉันไม่รู้ว่าทำไมเราถึงต้องจบกันแบบนี้

But if we're strong enough
To let it in
We're strong enough
To let it go

แต่หากเราเข้มแข็งพอ
ที่จะปล่อยให้ความรู้สึกมันเกิดขึ้น
เราก็ต้องเข้มแข็งพอ
ที่จะปล่อยมันไป

Let it all go, let it all go
Let it all out now
Let it all go, let it all go
Let it all out now

ปล่อยมันไปทั้งหมด ปล่อยมันไป
ปล่อยมันออกมาตอนนี้
ปล่อยให้มันจากไป ปล่อยมันเสีย
ปล่อยมันออกมาทั้งหมด

Who says, who says?
Who says, who says?
Who says truth is beauty after all?
And who says love should break us when we fall?

ใครบอก ใครกันที่บอก
ใครบอกว่ายังไงความจริงเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ?
แล้วใครบอกว่ารักจะต้องทำร้ายเมื่อมันพังทลายไป?


But if we're strong enough
To let it in
We're strong enough
To let it go

แต่หากเราเข้มแข็งพอ
ที่จะปล่อยให้ความรู้สึกมันเกิดขึ้น
เราก็ต้องเข้มแข็งพอ
ที่จะปล่อยมันไป

Let it all go, let it all go
Let it all out now
Let it all go, let it all go
Let it all out now

ปล่อยมันไปทั้งหมด ปล่อยมันไป
ปล่อยมันออกมาตอนนี้
ปล่อยให้มันจากไป ปล่อยมันเสีย
ปล่อยมันออกมาทั้งหมด

We're strong enough
To let it go

เราต่างก็เข้มแข็งพอ
ที่จะปล่อยมันไป...

            เป็นเพลงที่ปล่อยออกมาหลังออกอัลบั้ม Fire within พักใหญ่ๆค่ะ เราชอบเพลงนี้มากพอสมควร เพราะทำนองดี เนื้อหาดี เสียงดี และMVสวยมากกกกอ่ะ 5555 เหมือนดินแดนในจินตนาการ มันสวยจริง และเหงาจริง เข้ากันดีกับเคมีของทำนองเพลง เนื้อเพลง และเสียงของนักร้อง ซึ่งจริงๆเชื่อว่าหนูนก (Birdy) สามารถทำออกมาให้เหงากว่านี้ได้ค่ะ!!! แต่ช่างเถอะ แค่นี้ก็เหงาพอแล้ว

            เพลงนี้สื่อความตรงดีนะคะ เป็นความรักที่จากกันด้วย(ไม่)ดี กลายเป็นปมของทั้งสองฝ่าย ก็เลยเกิดท่อนฮุคที่ว่า ถ้ากล้าที่จะรัก ก็ต้องกล้าที่จะปล่อยไป มีที่ต้องตีความหมายนิดหน่อยค่ะคือ a light on the road อันนี้ส่วนตัวเราว่า เป็นสัญญาณระหว่างสองคนค่ะ เขาจะเข้าใจกันเองว่าไฟทางหมายถึงอะไร ถ้าให้เราแปลออกมาเป็นความหมายกลางๆ แสงไฟทางอาจหมายถึง แสงนำทาง นำทางให้กลับบ้านถูก เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าให้กลับมาหาเพื่อปรับความเข้าใจ หรือกลับมาหากันได้ไหม อะไรทำนองนั้น หรืออาจเป็นการบอกว่า บ้านนี้มีคนอยู่นะ (อารมณ์เหมือนเปิดไฟหน้าบ้านทิ้งไว้ในตอนกลางคืนน่ะค่ะ) เป็นสัญญาณบอกว่า พร้อมจะคุยเรื่องที่ค้างคาใจ อยากจะเคลียปมให้จบสวยๆ ซึ่งเราว่ามันก็เป็นไปได้ทั้งสองอย่างนะ เพราะท่อนที่Birdy ร้องเหมือนยังอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ท่อนที่ Rhodes ร้องนี่คือ จบแล้วจบกัน เราไปกันไม่ได้หรอก

            ท่อนต่อมาคือท่อนของฝ่ายชายนะคะ เขาบอกว่าพอเขามองย้อนกลับไปในความสัมพันธ์เขาก็เห็นมันตามความเป็นจริง เพราะเวลาเราคบใครรักใคร ทุกอย่างมันจะดีไปหมด ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดยากที่สุด ทุกอย่างมัน “ที่สุด” ในความรู้สึกเรา เปรียบเหมือนเป็นนักมวยบนสังเวียนค่ะ มองเห็นแต่คู่ต่อสู้แล้วก็รู้สึกมะรุมมะตุ้มมาก ทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอความสัมพันธ์มันจบแล้วแล้วเรามองย้อนกลับไปเราก็มักจะถามตัวเองกันอยู่เสมอว่า “นี่กูทำอะไรลงไปวะเนี่ย” “ตอนนั้นมันงี่เง่ามากเลย” เพราะเรามองในฐานะคนดูมวยแล้วค่ะ ไม่ได้ลงไปอยู่บนสังเวียนเอง ซึ่งท่อนที่เจ็บสุด และตรงที่สุดคือ There's still a fire in my heart, my darling. But I'm not burning for you. ถ้าจะตรงกว่านี้ก็เอาขวานมาจามหน้ากันเลยดีกว่า คำว่าfireในที่นี้ตีความได้หลายอย่างนะคะ ได้ทั้งไฟรัก ความเร่าร้อน พลัง ความหวัง ถ้าความหมายตรงตัวเลยเราว่า ไฟรักนะ เหมือนว่าเลิกกันแล้ว แต่เขาก็มีไฟรักอยู่ เพียงแค่ไฟรักของเขาไม่ใช่สำหรับเราเท่านั้นเอง (ใครอกหักมาเจอท่อนนี้นี่ตายไปเลยนะคะ 55555 ขยี้แผลสุดๆ) แต่เราเลือกใส่ไปว่าความหวัง เพราะมันซอฟท์กว่า อาจหมายถึงความหวังที่จะมีความรัก แต่ความหวังนั้นมันไม่ใช่สำหรับเราแล้วเท่านั้นเอง (ดูเป็นการปฏิเสธแบบสุภาพกว่าอันแรกเยอะเลย 5555) ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมันไม่ถูกต้องค่ะ จะไม่ถูกยังไงก็เชื่อมโยงกันได้ตามชอบเลยนะคะ อาจจะผิดที่ ผิดเวลา ผิดคน หรือเริ่มด้วยความไม่มั่นคง เริ่มด้วยความเข้าใจผิดคิดไปว่าคือความรัก ฯลฯ ฝ่ายชายก็จะร้องว่าเขาก็คิดว่าต่างคนก็ต่างรู้แหละว่ามันไม่โอเค ไปไม่รอด และต่างคนต่างก็รอวันเลิกมานานมาก จนกระทั่งตอนนี้เขาต้องจากไปแล้ว...

            อีกท่อนที่สวยงามของเพลงนี้คือ ใครบอกว่าความจริงเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ ใครบอกว่าความรักจะต้องทำร้ายเมื่อมันแหลกสลาย เพราะรายละเอียดของแต่ละเรื่องราวและความสัมพันธ์มันต่างกันค่ะ ความจริงอาจโหดร้าย และความรักอาจจบลงด้วยดี ถ้าคุณจบลงด้วยความเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น (ซึ่งนี่คือสิ่งที่เพลงพูดบ่อยที่สุด การให้ปล่อยมันไป >> ยอมรับ+เข้าใจ >> จบ)

            ท่อนที่น่าสนใจคือ Now I have to go ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เอ่ยเพลงนี้ ของฝ่ายหญิงมีบริบทคือตอนเช้ามาถึงแล้วเธอต้องไปแล้ว ของฝ่ายชายบริบทคือวันเลิกรา วันที่ทุกอย่างมาสุดทาง เขาเลยต้องไป ซึ่งจากทั้งเพลงจะสังเกตได้ว่าผู้หญิงยังคิดอยู่ตลอดทุกคืน แต่ผู้ชายคือมันจบไปแล้ว ตอนเช้าหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ที่มาถึง และเธอก็ต้องไปเริ่มชีวิตใหม่แล้ว (ให้โอกาสตัวเอง กำลังจะเริ่มใหม่) หรือหมายถึงชีวิตจริง โลกแห่งความจริง ที่อาจจะมีแฟนใหม่ไปแล้ว หรือหมายถึงชีวิตใหม่ที่เธอเริ่มต้นมานานแล้วแหละ แต่ก็ยังคงคาใจอยู่ ก็เลยคิดถึงมันบ่อยๆ แต่พอตอนเช้าก็ต้องกลับไปอยู่ในโลกของตัวเอง ตอนจบของเพลงก็คือการที่ฝ่ายชายมาตอบคอนเฟิร์มการเลิกราด้วยท่อน fire in my heart นั่นแหละค่ะ แล้วทั้งคู่ก็เลยจากกันด้วยดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แปลไทยแบบกันเอง : Seafret - Atlantis

แปลไทยแบบกันเอง : Adele – Remedy

แปลไทยแบบกันเอง : Jack Johnson - Monsoon