แปลไทยแบบกันเอง : Of Monsters And Men – Slow Life





What are they talking about
On the weekends
Lost in the forest of this heart
Is a foreign still

นี่พวกเขาพูดถึงอะไร
ในช่วงสุดสัปดาห์กันนะ
หลงทางอยู่ในป่าของจิตใจนี้
ที่ยังคงดูไม่คุ้นเคย

Why are they shaking their heads
We're stuck in slow life
Is it the beating of the chest
That makes us fear the rest

ทำไมพวกเขาถึงส่ายหน้า
เราติดอยู่วิถีชีวิตอันเชื่องช้า
มันคือการเต้นของหัวใจรึเปล่า
ที่ทำให้เรากลัวที่จะหยุดพัก

We're slowly sailing away
Behind closed eyes
Where not a single ray of light
Can puncture through the night

เราล่องเรือออกไปช้าๆ
ภายใต้ดวงตาที่ปิดสนิท
ที่ซึ่งไม่มีแม้สักลำแสง
จะลอดผ่านราตรีกาลมาได้

You caught me in the tide
And I caught you
Sheltered by the night
Red in tooth and red in claw

เธอจับฉันได้ในเกลียวคลื่น
ฉันก็จับเธอได้เช่นกัน
ใช้กลางคืนเป็นที่กำบัง
มีสีแดงชาดติดอยู่ที่ฟันและกงเล็บ

You saw me in new light
And I saw you
Sheltered by the night
Red in tooth and red in claw

เธอเห็นฉันในเช้าวันใหม่
ฉันก็เห็นเธอ
ใช้ราตรีเป็นเครื่องกำบัง
มีเลือดติดอยู่ที่ฟันและกงเล็บ

Between the daylight
And the deep sea
Lies a swarm of silhouettes
Floating aimlessly

ระหว่างแสงแห่งวัน
และทะเลลึกล้ำ
มีภาพเงาของฝูงผึ้ง
ล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย

But I'm a mountain
I am a killer
You'll get lost and buried deep
If you swim with me

แต่ฉันคือขุนเขา
ฉันคือนักฆ่า
เธอจะถูกทำลายและฝังไว้ในส่วนลึก
หากเธอว่ายน้ำไปกับฉัน

You caught me in the tide
And I caught you
Sheltered by the night
Red in tooth and red in claw

เธอจับฉันได้ในเกลียวคลื่น
ฉันก็จับเธอได้เช่นกัน
ใช้กลางคืนเป็นที่กำบัง
มีสีแดงชาดติดอยู่ที่ฟันและกงเล็บ

You saw me in new light
And I saw you
Sheltered by the night
Red in tooth and red in claw

เธอเห็นฉันในเช้าวันใหม่
ฉันก็เห็นเธอ
ใช้ราตรีเป็นเครื่องกำบัง
มีเลือดติดอยู่ที่ฟันและกงเล็บ

So look at you look at me
All because we need to know
So look at me look at you
All because we'll never know

ดูเธอที่มองฉันสิ
ทั้งหมดเพียงเพราะเราต้องการที่จะรู้จักกัน
ดูฉันที่มองเธอสิ
ทั้งหมดนั่นเพราะเราจะไม่มีวันรู้จักกันได้เลย

So look at you look at me
All because we need to know
So look at me look at you
All because we'll never know

ดูเธอที่มองฉันสิ
ทั้งหมดเพียงเพราะเราต้องการที่จะรู้จักกัน
ดูฉันที่มองเธอสิ
ทั้งหมดนั่นเพราะเราจะไม่มีวันรู้จักกันได้เลย

            เพลงอันดับที่6 จากอัลบั้มล่าสุด Beneath The Skin ค่ะ สารภาพตามตรงว่าไม่เข้าใจองค์รวมของทั้งเพลงหรอกว่าต้องการจะบอกอะไร เข้าใจเป็นท่อนๆไป
            ช่วงแรกกล่าวถึงชีวิตที่เป็นอยู่ว่าค่อนข้างจะแปลกแยกจากคนในสังคม (เพราะถามว่าคนอื่นเขาคุยเรื่องอะไรกันในวันหยุด แสดงว่าวิถีชีวิตต้องแตกต่างละ) แถมยังสับสนในความคิดของตัวเอง (Lost in the forest of this heart แถมอีป่าในความคิดนี่ยัง foreign หรือ ไม่คุ้นเคย,ดูแปลกประหลาดอีกต่างหาก ทั้งๆที่เป็นในความคิดของตัวเองแท้ๆ)

            ท่อน Why are they shaking their heads นี่สารภาพตามตรงเลยนะคะว่าไม่รู้จริงๆว่าอาการ shake ของเพลงนี้มัน shake แค่ไหน แค่ส่ายหน้าเบาๆ หรือเขย่าแบบชาวร็อค หรือทรงเจ้าเข้าผีกันไปแล้ว แต่นัยยะของมันที่แน่ชัดคือการปฏิเสธค่ะ อาจจะปฏิเสธวิถีชีวิตหรือตัวตนอันแปลกประหลาดของคนร้อง (ถ้าว่าตามบริบทเพลงนะ) เพราะการที่ถามว่าวันหยุดเขาคุยเรื่องอะไรกันน่าจะเป็นคนที่ไม่ดูทีวี ไม่เล่นเน็ต ไม่ค่อยสนใจโลกภายนอกระดับนึงล่ะ ท่อนต่อมาเขาก็เลยร้องว่า เราติดอยู่ในวิถีชีวิตอันเนิบช้า (We're stuck in slow life) และเกิดคำถามขึ้นว่า เพราะการมีชีวิตอยู่รึเปล่า ที่ทำให้พวกเรากลัวที่จะหยุดพัก ซึ่งการหยุดพัก (the rest) นี่ก็ตีความแตกไปได้มากมาย หมายถึงความตายก็ได้ หรือจะหมายถึงการใช้ชีวิตแบบเนิบช้าก็ได้ค่ะ ตามแนวคิดคนเมืองอ่ะนะ เวลาเป็นเงินเป็นทอง ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต่อไป คนเลยพยายามใช้เวลาให้คุ้มค่า คว้าเอาไว้ทุกโอกาส แถมยังมีแนวความคิดที่ว่า คนที่หยุดเดินคือคนที่ตายไปแล้ว (ตามไม่ทันกระแสโลกว่างั้น)

            ท่อนต่อมาบอกว่า แล้วพวกเขาก็ค่อยๆแล่นเรือออกไป การแล่นเรือต้องออกจากฝั่ง ฝั่งมีนัยยะของความมั่นคง การแล่นเรือจึงเหมือนต้องออกไปเสี่ยงชีวิต การที่เขาเป็นคนใช้ชีวิตเนิบช้าก็เหมือนบ้าน เคยทำเคยอยู่มานาน ก็รู้สึกมั่นคงปลอดภัยดี แต่วันดีคืนดีก็ต้องออกไปใช้ชีวิตในสายน้ำ เปรียบเสมือนวิถีชีวิตแบบใหม่ ซึ่งก็เสี่ยงและไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง แถมยังออกเรือไปทั้งที่หลับตา ไปยังที่ๆแสงส่องไม่ถึงอีกต่างหาก ชีวิตแม่งเสี่ยงเหลือเกิน

            You caught me in the tide.... tide แปลว่ากระแสน้ำค่ะ แต่ก็ยังหมายถึงคลื่นเบาๆที่เซาะฝั่งทะเลได้ด้วย เลยขอใช้คำว่าเกลียวคลื่นแทนละกัน มันให้ภาพของความเคลื่อนไหวดี ท่อนนี้บอกว่าเราต่างก็จับกันได้ในเกลียวคลื่น (ให้ภาพของการต่อสู้ไล่ล่า) ในตอนกลางคืน (ซึ่งก็เป็นเวลาที่สัตว์ส่วนใหญ่จะออกหาอาหารอีก) แถมยังมีสีแดงติดอยู่ที่ฟันและเล็บ แน่นอนค่ะ สีแดงมันต้องไม่ใช่ลิปติกแน่ๆ มันคือเลือด! 3ประโยคนี้มารวมกัน แสดงให้เห็นเลยว่าวิถีชีวิตในทะเลของพวกเขาได้เปลี่ยนให้คนslow life กลายเป็นสัตว์ป่าที่เข้าห้ำหั่นกันเองเลยทีเดียว

            ต่อมาตรงช่วง You saw me in new light เธอเห็นฉันในแสงของวันใหม่ แต่ฉันเห็นเธอซ่อนตัวอยู่ในความมืด และยังคงชุ่มโชกไปด้วยเลือด (คือเป็นสัตว์ป่าเหมือนเดิม) ระหว่างแสงยามกลางวัน และทะเลอันดำมืด (ทะเลสียิ่งเข้มยิ่งลึก) มีภาพเงาของฝูงผึ้งบินไปมาอย่างไร้จุดหมาย เราว่าผึ้งเปรียบเหมือนคนทำงานค่ะ อาจเปรียบถึงบรรดาคนที่ออกจากฝั่ง(ชีวิตเรียบง่าย มั่นคง)มาใช้ชีวิตแบบแข่งขันเอาตัวรอดในเมือง แล้วเกิดหลุดไปตามกระแสน้ำ สูญเสียความเป็นตัวเองไป ก็กลายเป็นผีผึ้งลอยไปเรื่อยๆแล้วแต่กระแสแห่งการแข่งขันจะซัดคุณไปถึงไหน

            แต่นักร้องบอกว่า เขาคือขุนเขา (แสดงถึงความหนักแน่นมั่นคงในเจตนาเดิมของตัวเองว่าจะไม่เปลี่ยนไป) แต่ตรงท่อน killer นี่ไม่แน่ใจนะคะว่าจะสื่อถึงอะไร แต่ถ้ายึดตามบริบทเพลงแล้ว คิดว่า นอกจากจะมั่นคงในความคิดเหมือนขุนเขา ถ้าใครมาขวางเขาก็พร้อมจะกำจัดคนเหล่านั้นไปแบบไม่ลังเลด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเธอยังดึงดันที่จะตามมา(ขัดแข้งขัดขา) เธอก็จะถูกฉันฆ่าเอาได้ง่ายๆ


            ท่อนสุดท้ายชอบมากค่ะ ดูเธอที่มองมาที่ฉันสิ เธอมองเพราะอยากจะรู้จักกัน และดูฉันที่มองเธอสิ ฉันมองเพราะเราจะไม่มีวันรู้จักกันเลย...ไม่รู้มีใครเคยเป็นรึเปล่า ที่เราอาจจะเริ่มมองคนคนนึงเพราะเราอยากรู้จักคนคนนั้น และในทางตรงกันข้าม บางครั้งเราก็มองหน้าคนใกล้ๆตัวเรา แล้วรู้สึกเหมือนว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย หรือไม่ก็ ไอ้คนคนนี้มันรู้จักเราจริงๆหรอ/เรารู้จักมันจริงๆหรอ? ต่างคนเหมือนเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน...ท่อนนี้สำหรับเราแล้วให้อารมณ์นี้ชัดเจนเลยค่ะ ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แปลไทยแบบกันเอง : Seafret - Atlantis

แปลไทย : Sia - Unstoppable

แปลไทยแบบกันเอง : Seafret - Oceans