แปลไทยแบบกันเอง : Passenger - Beautiful Birds






Do you remember when we were two beautiful birds, we would light up the sky, when we’d fly,
You were orange and red, like the sun when it sets, I was green as an apple’s eye.

เธอยังจำวันที่สองเราเป็นนกคู่หนึ่งที่งดงามได้รึเปล่า? ความงามของเรานั้นทำให้ท้องฟ้าเปล่งประกายเมื่อโผบิน
เธอมีสีส้มอมแดงเหมือนอาทิตย์อัสดง ฉันเป็นสีเขียวราวดวงตาของผู้เป็นที่รัก

You said you loved all the songs that I'd sing, but nothing like you’d ever heard,
And I said I loved you with all of my heart when we were two beautiful birds.

เธอบอกว่าเธอชอบทุกเพลงที่ฉันร้อง มันไม่เหมือนเพลงใดๆที่เธอเคยได้ยิน
ฉันจึงตอบไปว่าฉันรักเธอหมดใจ ยามเมื่อเราเป็นนกคู่หนึ่งที่งดงามเคียงข้างกัน

Do you remember when we were two beautiful birds, we would say when the morning would come,
You are silver and blue like the moon when it’s new, I was gold as the summer sun.

เธอจำวันที่เราเคยเคียงข้างกันอย่างสง่างามได้รึเปล่า วันที่เราบอกได้ว่าเมื่อไหร่วันใหม่จะมาเยือน
เธอมีสีเงินแซมครามเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ฉันมีสีทองราวกับแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน

But one day you asked for a different song,
One that I just couldn’t sing,
I got the melody sharp, and the words all wrong,
Those were the last days of spring.

แต่วันหนึ่ง เธอก็ขอให้ฉันร้องเพลงอื่น
เพลงที่ฉันไม่อาจร้องได้
ฉันร้องเพี้ยนทั้งเนื้อร้องและทำนอง
ในวันสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิ

To build a nest we pecked feathers from our chests,
Like a book tearing out every page,
We weren’t to know that these feathers would grow,
Into a beautiful cage.

เราถอนขนจากอกเพื่อนำมาสร้างรัง
ราวกับหนังสือที่ถูกฉีกออกทุกหน้ากระดาษ
ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่าขนนกเหล่านั้นจะเติบโตขึ้นมา
กลายเป็นกรงขังอันงดงามได้

ตอนนี้เทอมสุดท้ายแล้วค่ะ การบ้านก็มาต่อเนื่อง งานการก็ทำไปด้วย กะว่าจะดองเพลงไว้สักแป๊บ แต่เพลงนี้! เพลงนี้!!!!! โอ้ มันจะเศร้ากระแทกใจอะไรเบอร์นั้นวะ ไม่ไหวละ ฟังได้เต็มเพลงรอบสามก็คันไม้คันมือจะตายให้ได้เลยต้องมาแปลค่ะ 555555

            ชอบทำนองมันมากค่ะ เหมือนยืนอยู่ที่เนินเตี้ยๆริมทะเลหม่นๆ ลมทะเลพัดยอดหญ้าสูงครึ่งแข้งปลิวไสว ท้องฟ้าสีเทาครึ้มฝนให้อารมณ์หมองๆ มีแสงสีทองส่องจากๆอยู่ไกลลิบๆริมขอบทะเล บรรยากาศสุขปนเศร้า เสียงคนร้องก็แบบ....โอ๊ยยยยยย เสียงสองคนนี้เคมีเข้ากั๊นเข้ากัน แถมเข้ากันดนตรีอีกต่างหาก (เราaddictความเศร้าน่ะ) คือแม่งใช่ ใช่มากๆ ชอบความเLร้าเหงาๆ ปนอมยิ้มแบบสมเพชตัวเอง ตอนที่นึกถึงความสุขวันเก่าๆ มันหวานอมขมกลืนขื่นๆคอดีจริงๆค่ะ

            เนื้อหาของเพลงนี้แบบตีความแล้วคือพูดถึงคนสองคนที่ดูเข้ากันดีและก็รักกันดีเสียด้วย เรียกว่าสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกเลยทีเดียว คนหนึ่งตกหลุมรักอีกคนหนึ่งเพราะเสน่ห์บางอย่างในตัวของเขา อีกฝ่ายจึงบอกรักกลับไป เพราะสุขใจที่ได้เจอคนที่เหมาะสมกันเช่นนี้ คนที่เข้ากันได้ดีมากๆถึงขึ้นที่จะชี้อนาคตได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป (we would say when the morning would come ตอนเช้า>>วันใหม่>>อนาคต)

แล้ววันหนึ่ง คนรักของเธอก็ขอให้เธอทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ทุกอย่างมันจึงดูผิดที่ผิดทางไปหมด ซึ่งวันนั้น กว่าที่ทั้งสองคนจะรู้ว่าจริงๆทั้งคู่ไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อกันและกัน ความสัมพันธ์ก็เดินมาถึงจุดที่ไม่อาจกลับหลังได้อีกแล้ว (Those were the last days of spring. ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่สัตว์ทำมาหากินสะสมอาหาร หาคู่ สร้างรังไม้รับมือกับฤดูการต่อไปที่จะยากลำบากแร้นแค้นมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ เลยแปลไปว่าหมดโอกาส)
           
ซึ่งตอนที่สองคนนี้รักกันก็ทุ่มเทเพื่อกันและกันเต็มที่ (To build a nest we pecked feathers from our chests ถอนขนอกตัวเองกันเลยทีเดียว) ทำลายและสูญเสียความเป็นตัวเองหลายๆอย่างเพื่อรักษาให้ความสัมพันธ์นี้ยังอยู่ และสร้างหลักประกันให้ความสัมพันธ์ว่ามันจะคงอยู่ไปอีกนาน (ผ่านการเอาขนมาสร้างรังนั่นแหละ รังก็คือบ้านค่ะ มีนัยยะของการลงหลักปักฐาน การอยู่ร่วมกัน และความถาวรในระดับหนึ่ง) ไอ้ตอนที่ทำไปก็ไม่เคยรู้เลยว่า มันจะกลายเป็นกรงที่มาขังตัวเองเอาไว้แบบนี้ .... ก็ถ้าให้เปรียบคงเหมือนคู่สามีภรรยาที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แต่มารู้ทีหลังว่าเข้ากันไม่ได้ (จริงๆอาจจะเข้าไปหลายทีแล้ว / อุ๊บส์ -..-) เลยต้องทนอยู่กันไปแบบทรมานใจท่ามกลางสายตาของคนภายนอกที่มองว่าชีวิตช่างมีพร้อมสมบูรณ์และสวยงามแล้ว....

            สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในเพลงนี้คือความแตกต่างแบบตรงกันข้ามของนกสองตัวค่ะ (contrast) คือต่างแบบเธอเป็นพระจันทร์ฉันเป็นพระอาทิตย์ เธอสีโทนเย็นฉันสีโทนอุ่น เป็นความต่างแบบต้องอยู่คู่กัน แต่ถามจริงๆว่าแต่ละอย่างที่เขาเปรียบมามันคู่กันจริงๆหรอ หรือมันเป็นแค่ด้านตรงข้ามของกันและกัน  บางทีเราคิดว่าความต่างนั้นดี เพราะมันเติมเต็มส่วนที่เราขาดไป มันทำให้เราสมบูรณ์ จนบางทีเราลืมไปว่า ไอ้ความต่างนี้มันก็เป็นประเภทเดียวกันกับสิ่งที่เราไม่อาจอยู่ร่วมด้วยได้ จนเรากับมันต้องแยกกันอยู่คนละสุดปลายเชือก จนเขาต้องตั้งให้มันเป็นด้านตรงข้ามของกันและกันไม่ใช่หรอ? การรวมกันของสองขั้วที่แตกต่างเป็นได้ทั้งการทำให้สมบูรณ์และการทำลายหักล้างซึ่งกันและกัน (อันนี้แปลจากบริบทของเพลงเลยนะคะ) ก็เป็นอีกข้อคิดที่น่าสนใจอีกมุมหนึ่งในเรื่องของความสัมพันธ์ด้วย


            ส่วนท่อน I was green as an apple’s eye. นี่ไม่รู้จริงๆค่ะว่ามันเขียวเหมือนอะไร แต่รู้ว่า apple of someone’s eye นี่หมายถึงแก้วตาดวงใจ เลยไปคว้าเอาการ์ดยูกิ : ฟิวชั่น มาแปะแล้วอุปโลกน์คำแปลเองซะเลยค่ะ 55555 ถ้าท่านผู้รู้ท่านใดบังเอิญหลงทางผ่านมา หรือใครมีคำแนะนำดีๆก็บอกกันได้นะคะ ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แปลไทยแบบกันเอง : Seafret - Atlantis

แปลไทย : Sia - Unstoppable

แปลไทยแบบกันเอง : Seafret - Oceans