แปลไทยแบบกันเอง : Florence + The Machine - Too Much Is Never Enough
And
the crown it weighs heavy
'Till
it's banging on my eyelids
Retreating
in covers and closing the curtains
One
thing's for certain, oh
A
year like this passes so strangely
Somewhere
between sorrow and bliss
แล้วมงกุฎก็หนักขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งมันกระทบกับเปลือกตาของฉัน
ถอยเข้าสู่ที่กำบังและปิดม่านเอาไว้
มีเพียงสิ่งเดียวที่แน่นอน
ปีเช่นนี้ผ่านไปอย่างแปลกประหลาด
ระหว่างความเศร้าหมองและความสุขล้น
Oh,
who decides from where up high?
I
couldn't say "I need more time"
Oh,
grant that I can stay the night
Or
one more day inside this life
โอ้
ใครกันที่ตัดสินใจ จากที่ไหนสักแห่งข้างบนนั่น?
ฉันคงไม่อาจจะพูดได้ว่า
“ฉันต้องการเวลามากกว่านี้”
โอ้
ยอมให้ฉันอยู่ในค่ำคืนนี้เถอะ
หรืออีกสักวันหนึ่งในชีวิตนี้ก็ยังดี
Too
much, too much, too much, too much, too much
Never
enough
มากล้น
มากเหลือ มากมายเพียงใด
ก็ไม่เคยพอ
Oh,
you wondrous creature
Coming
up who we are
Cause
I'm retreating in covers and closing the curtains
One
thing's for certain, oh
A
year like this passes so strangely
Somewhere
between sorrow and bliss
โอ้
เธอผู้น่าอัศจรรย์
กำลังจะกลายมาเป็นสิ่งที่เราเป็น
เพราะฉันได้ล่าถอยเข้าไปในที่กำบัง
และปิดฉากกั้นเอาไว้
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนนั้นคือ
ช่วงเวลาเช่นนี้ผ่านไปอย่างแปลกประหลาด
ระหว่างความเศร้าโศกและสุขล้น
And
who decides from where up high?
(One
other year; a hundred flags flying in a field)
I
couldn't say "I need more time"
(One
day, felt it let go of me)
Oh,
grant that I can stay the night
(One
other year; a hundred flags flying in a field)
Or
one more day inside this life
(One
day, felt it let go of me)
แล้วใครกันที่ตัดสินใจ
จากที่ไหนสักแห่งข้างบนนั้น?
(อีกหนึ่งปี
ธงนับร้อยโบกสะบัดในทุ่งกว้าง)
ฉันคงไม่อาจจะพูดได้ว่า
“ฉันต้องการเวลามากกว่านี้”
(วันเดียว
รู้สึกได้ว่ามันปล่อยฉันไป)
โอ้
ยอมให้ฉันอยู่ต่ออีกสักราตรี
(ในอีกหนึ่งปี
ธงนับร้อยจะโบกสะบัดทั่วท้องทุ่ง)
หรืออีกสักวันหนึ่ง
ภายในชีวิตนี้ด้วยเถอะ
(วันเดียว
รู้สึกว่ามันได้ปล่อยฉันไป)
Too
much, too much, too much, too much, too much
Never
enough
มากล้น
มากเหลือ มากมายเพียงใด
ก็ไม่เคยพอ
And
who cares about the thing I did that night?
So
what? Maybe Luna had it right
And
who cares if I'm coming back alive?
So
what? 'Least I have the strength to fight
ใครกันจะสนใจในสิ่งที่ฉันทำในคืนนั้น?
แล้วยังไง?
บางทีดวงจันทร์อาจจะทำให้มันถูกต้อง
และใครกันจะสนใจหากฉันกลับมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่?
แล้วไง?
อย่างน้อยที่สุดฉันก็เข้มแข็งพอที่จะต่อสู้
Too
much, too much, too much, too much, too much
Never
enough
มากล้น
มากเหลือ มากมายเพียงใด
ก็ไม่เคยพอ
One
other year; a hundred flags flying in a field
One
day, felt it let go of me
ในอีก1ปี
ธงนับร้อยจะโบกสะบัดในท้องทุ่ง
วันหนึ่ง
จะรู้สึกได้ว่ามันได้หลุดพ้นจากฉันไปแล้ว
เพลงใหม่ล่าสุดของฟลอเร้นซ์ที่เราชอบมากกว่าเพลงในอัลบั้มของนางซะอีก
มันดียยยยยยยยยยย์อ่ะ 55555 เพลงนี้เสียงใสมากค่ะ และให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ซึ่งเราว่ามันเหมาะกับนางนะ
เพลงนี้เป็นเพลงประกอบอนิเม(หรือภาพยนตร์? ไม่รู้อ่ะเรียกไม่ถูก) รู้แต่เป็นของ
Final Fantasy ภาคล่าสุดนั่นเอง (Cover เพลง
Stand By Me ที่อยู่ในอัลบั้มนี้ก็เพราะนะ)
ซึ่งเราเคยดูเรื่องนี้แค่ตอนเดียวจากทั้งซีรีย์10กว่าภาค จึงไม่สามารถจะวิเคราะห์ในเชิงของเนื้อหาภาพยนตร์ได้
เพลงนี้มีการพูดถึงภาระหน้าที่ (crown) ก็ตัวละครเอกในเรื่องก็เกี่ยวกับพวกราชวงศ์ด้วยนี่เนอะ 555 ช่างมันค่ะ
เรามาดูกลางๆกันก่อน ภาระหน้าที่มันหนักหนาจนกระทั่งทำให้บดบังทัศนวิสัย (banging
on my eyelids) เลยตัดสินใจได้ไม่ค่อยดี
หรืออาจจะตัดสินใจผิดพลาดด้วยซ้ำ เลยต้องหนีไปเก็บตัว หลบซ่อนอยู่ในที่กำบัง
ซึ่งช่วงเวลานั้นมันก็เป็นช่วงเวลาหวานอมขมกลืน ทั้งสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกัน
Oh, who decides from where up high? อันนี้เราว่าเขาพูดถึงพระเจ้านะ หรือบุคคลในความเชื่อของเขานั่นแหละ
ว่าเขาอยากจะอยู่ต่อไป ในฐานะนี้ ตำแหน่งนี้ ในความรับผิดชอบที่เขารัก
อย่างน้อยอีกซักวันก็ยังดี ก็เพราะทำด้วยใจรักเนี่ยแหละ
จะมากแค่ไหนมันก็เลยไม่เคยพอ (Too much, never enough)
ที่ไม่แน่ใจคือ wondrous
creature, coming up who we are นี่คือใครค่ะ
แต่เดาว่าน่าจะหมายถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน(ในหนัง)
ที่จะต้องเติบโตมาอยู่ในตำแหน่งนี้แทนที่เขาในสักวันหนึ่ง
น่าจะออกแนวเตือนๆว่าเห็นข้าเป็นตัวอย่างแล้วนะ ตัดสินใจดีๆก็แล้วกัน
ท่อนที่ชอบที่สุดคือท่อน And who cares มันให้อารมณ์ฮีโร่ผู้ถูกทอดทิ้งมากๆเลย ใครจะสนว่าฉันทำอะไรลงไปในวันนั้น
ใครแคร์ว่าฉันยังรอดกลับมาได้ อย่างน้อยๆกูก็ได้ลงมือทำอะไรสักอย่างล่ะวะ!
ท่อนสุดท้ายที่บอกว่าธงนับร้อยโบกสะบัดในท้องทุ่ง
หมายถึงยุคแห่งความสุขสงบและสันติภาพค่ะ เหมือนพวกองการสหประชาติที่ข้างหน้าอาคารจะมีธงชาตินั้นชาตินี้ปักอยู่เต็มไปหมด
หรือตามงานประชุมความร่วมมือต่างๆ สรุปสั้นๆคือประโยคนี้ให้ภาพของความสงบสุขและสามัคคีนั้นเองค่ะ
ซึ่งพอวันนั้นมาถึง ความรู้สึกต่างๆที่คนร้องแบกรับไว้ก็จะถูกปลดปล่อย
และเขาก็จะได้เป็นอิสระอย่างแท้จริงค่ะ (felt it let go of me)
ก็หวังว่าทุกท่านจะบันเทิงไปกับเพลงนี้ด้วยกันนะคะ
^^
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น